‘สุทิน’ สวน ‘วีระกร’ ชงชื่อ ‘บิ๊กป้อม’ เป็นนายกฯ แนะถาม ตู่-ป้อม ยังจะไปด้วยกันไหม เอาอีก สมัยประชุมหน้า ยื่นซักฟอก ไม่ลงมติ
2 ต.ค.2565- นายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย (พท.) และประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) กล่าวถึงกรณีนายวีระกร คำประกอบ ส.ส.นครสวรรค์ พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) จะเสนอชื่อ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นแคนดิเดต นายกรัฐมนตรี หลังการเลือกตั้งสมัยหน้าแล้วให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและรมว.กลาโหมเป็นรองนายกฯควบกระทรวงใหญ่ว่า นายวีระกรสามารถคิดได้ นำเสนอต่อพรรคได้ แต่ต้องถามนายวีระกรว่าได้คุยกับ พล.อ.ประยุทธ์ กับพล.อ.ประวิตร แล้วหรือยัง ทั้ง 2 ท่านจะยังไปด้วยกันได้อยู่หรือ
“นายวีระกร ได้ลองฟังเสียงประชาชนอย่างกว้างขวางหรือยัง เท่าที่ผมฟังมาประชาชนคนไทยอยากหลุดพ้นจาก ป. เต็มทน อยากก้าวไปสู่ผู้นำใหม่ๆ ความคิดใหม่ๆและแนวทางบริหารประเทศใหม่ๆ 8 ปี กับ ป. ประชาชนระทมพอแล้ว แต่ทั้งหลายทั้งปวง เคารพความคิดเห็นของทุกคนรวมทั้งนายวีระกร และเคารพความเป็นพรรคพลังประชารัฐ ที่มีสิทธิคิดและขับเคลื่อนในเส้นทาง เราก็มีเส้นทางของเราสุดท้ายอยากให้ทุกคนฟังประชาชนเป็นสำคัญ”
ถามว่า ถ้าเป็นแบบที่นายวีระกรว่าจริงจะเป็นผลดีผลเสียกับพรรคเพื่อไทยอย่างไร นายสุทิน กล่าวว่า พรรคเพื่อไทย ไม่ได้วิตกกับคู่แข่ง วิตกกับประชาชนเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เชื่อมั่นว่า ถ้าเป็นคู่แข่งหน้าเดิมๆ เราเคยชนะมาโดยตลอด น่าจะชนะได้ง่ายขึ้นกว่าเดิมด้วย ขออย่างเดียวให้มีเลือกตั้งและมีกติกาที่เป็นธรรม
ซักถึงการยื่นญัตติอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152 นายสุทิน กล่าวว่า เป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญ ในสมัยประชุมหน้า ยังมีสิทธิยื่นอภิปรายตามมาตรา 152 อยู่ จึงคิดว่า ควรใช้ช่องท่างดังกล่าวให้เป็นประโยชน์กับการบริหารประเทศในช่วงที่เหลือ สาระคือ การซักถามประเด็นปัญหาและเสนอแนะทางออกในการบริหารประเทศแก่รัฐบาล มีหลายปัญหาที่อยากซักถามรัฐบาลว่า ทำไมไม่แก้ปัญหา ทำไมแก้โดยวิธีที่ใช้แล้วเราก็อยากเสนอแนะ คิดว่าทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่า จะใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152
เมื่อถามว่า ฝ่ายค้านจะใช้ช่องทางนี้หวังผลทางการเมือง ดิสเครดิตรัฐบาลหรือไม่ นายสุทิน กล่าวว่า เรื่องดิสเครดิตรัฐบาล ถ้าเขาทำดี ประชาชนให้เครดิตเขาฝ่ายค้านจะทำเช่นนั้นก็ไม่มีประโยชน์ แต่ถ้ารัฐบาลทำไม่ดีไม่ได้รับความเชื่อถือจากประชาชน การอภิปรายครั้งนี้จะมีผลต่อคะแนนนิยมของรัฐบาลก็ช่วยไม่ได้ เราหวังว่าหากจะเป็นเช่นนั้นก็แค่ผลพลอยได้ไม่ใช่วัตถุประสงค์หลัก