“บิ๊กป้อม” ประกาศพาพปชร.เป็นสถาบันการเมืองที่มั่นคงเข้มแข็ง อวดผลงาน 3 ปีครึ่งชั่วโมง ทั้งคนละครึ่ง เราชนะ เราเที่ยวด้วยกัน ปลุกสมาชิกช่วยกันประชาสัมพันธ์ ที่ประชุมตั้ง 2 บิ๊กทหารมืองานประวิตร “พล.อ.กฤษณ์โยธิน-พล.อ.ธัญญา” นั่ง กก.บห. ขณะที่ “พีระพันธุ์” ไขก๊อก พปชร.แล้ว “สันติ” พ่อบ้านป้ายแดงลุยสานฝันกวาด ส.ส. 150 ที่นั่ง เย้ย พท.แลนด์สไลด์แค่ความฝัน “ส.ส.พท.” ซัด “บิ๊กตู่” หนีตีกอล์ฟเมินแจงงบแก้โควิด กมธ.จ่อยื่นญัตติซักฟอก 23 พ.ค. โวข้อมูลแน่น “โฆษกรัฐบาล” ย้อนพท.แอบหนุนผู้สมัครผู้ว่าฯ บางคนอาจผิด กม.เลือกตั้ง
ที่โรงแรมเซนเตอร์พอยต์ เทอร์มินอล 21 จ.นครราชสีมา เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 3 เมษายน พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ได้จัดประชุมใหญ่สามัญประจำปี ครั้งที่ 1/2565 โดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรค พปชร. กล่าวก่อนการประชุมถึงกระแสข่าวนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ในฐานะที่ปรึกษาหัวหน้าพรรค พปชร. ยื่นใบลาออกจากสมาชิกพรรค พปชร.ว่า นายพีระพันธุ์ยังไม่ได้มาแจ้งลาออกกับตนแต่อย่างใด
ด้านนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เปิดเผยว่า ได้ทำหนังสือเอกสารการลาออกในการเป็นสมาชิก พปชร.และที่ปรึกษาหัวหน้าพรรค พปชร.ไปแล้ว ซึ่งอยู่ในขั้นตอนให้เจ้าหน้าที่ไปยื่นให้กับทาง พปชร. รวมถึงไปยื่นกับทาง กกต.ด้วย โดยการตัดสินใจลาออกครั้งนี้ ยังไม่ได้พูดคุยกับ พล.อ.ประวิตร แต่เป็นไปตามที่ตนเคยกล่าวไว้ตั้งแต่การเข้ามาสังกัด พปชร.ว่าจะเข้ามาเพื่อทำโครงสร้างพรรคให้เกิดความเข้มแข็ง และขณะนี้ได้จัดทำเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงหมดหน้าที่และได้ตัดสินใจลาออก หลังจากนี้จะทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษานายกฯ เพียงอย่างเดียวไปก่อน ยังไม่ตัดสินใจไปสมัครหรือเข้าสังกัดพรรครวมไทยสร้างชาติตามที่สื่อมวลชนวิเคราะห์
สำหรับการประชุมใหญ่พรรคพลังประชารัฐ มี พล.อ.ประวิตรเป็นประธาน โดยมีกรรมการบริหารพรรค สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) และสมาชิกพรรคแต่ละจังหวัดทั่วประเทศเข้าร่วมประชุมมากกว่า 500 คน ขณะที่รัฐมนตรีของพรรคเดินทางมาประชุมครบทุกคน ประกอบด้วย นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.การคลัง, นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม, นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม, นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม, นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน, นายอนุชา นาคาศัย รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี, นายอิทธิพล คุณปลื้ม รมว.วัฒนธรรม, น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ และนายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รมช.คมนาคม
ต่อมา เวลาประมาณ 10.00 น. ก่อนเข้าระเบียบวาระการประชุม พล.อ.ประวิตรกล่าวเปิดประชุมพร้อมกับสรุปผลงานของพรรคว่า บ้านหลังนี้จะพัฒนาให้เป็นสถาบันทางการเมืองที่มั่นคง เข้มแข็งสร้างประโยชน์ให้กับประเทศและประชาชน ด้วยความมุ่งมั่นทำงานให้พรรคอย่างเต็มที่ ผ่านโครงสร้างการทำงานภายในพรรค แบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบเป็น 10 ภาค ที่จะนำมาสู่การกำหนดนโยบายตามบริบทของพื้นที่ พปชร. ได้เร่งแก้ไขปัญหาเรื่องที่ทำกิน และการบริหารจัดการน้ำให้ภาคการเกษตรสามารถมีน้ำใช้อย่างเพียงพอตลอดทั้งปี ได้เข้าไปดูแลราคาสินค้าเกษตร โดยเฉพาะในพืชเศรษฐกิจ 5 ชนิด ข้าว อ้อย ยางพารา มันสำปะหลัง และปาล์มน้ำมัน สามารถสร้างรายได้ให้กับภาคเกษตรได้มากกว่า 7 แสนล้านบาท
พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ช่วงการแพร่ระบาดโควิด-19 ได้เข้าไปดูแลประชาชนทั้งในการมอบอุปกรณ์การแพทย์ จัดสิ่งของเครื่องใช้อุปโภคบริโภคที่จำเป็นผ่านการทำงานพื้นที่ของ ส.ส.ทั่วประเทศ พร้อมกับผลักดัน 3 โครงการที่ประสบความสำเร็จ ประชาชนให้การตอบรับเป็นอย่างดีและเข้าร่วมโครงการ ได้แก่ โครงการคนละครึ่ง, โครงการเราชนะ, โครงการเราเที่ยวด้วยกัน และในฐานะพรรคร่วมรัฐบาล ได้ผลักดันให้เกิดการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทั้งทางราง น้ำ บก และอากาศ ให้เกิดความพร้อมในการรองรับให้บริการกับประชาชน โครงการที่สำคัญ ได้แก่ โครงการรถไฟรางคู่ โครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูง เชื่อม 3 สนามบิน ดอนเมือง สุวรรณภูมิ และอู่ตะเภา รวมทั้งการเปิดประมูลรถไฟฟ้าสายสีต่างๆ ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล เพื่อแก้ไขปัญหาจราจรติดขัด และประสบความสำเร็จในการผลักดันนโยบายการพัฒนายานยนต์ไฟฟ้า (อีวี) และเรือไฟฟ้า
“ป้อม” ปลุกสมาชิกตีปี๊บผลงาน
“ผลงานของพรรคพลังประชารัฐที่ผมได้กล่าวมา ขอให้ทุกคนนำไปเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรับรู้ในสิ่งที่ตั้งใจ ภายใต้บ้านพลังประชารัฐหลังนี้ เราคือครอบครัวเดียวกัน เราจะรักสามัคคีเป็นหนึ่งเดียวกัน ร่วมก้าวเดินไปด้วยกัน สร้างบ้านพลังประชารัฐให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น ยึดมั่นในอุดมการณ์ชาติ สร้างความอยู่ดีกินดีให้คนไทยทุกคน เราจะร่วมใจกันทุกสิ่งทุกอย่าง แม้ขณะนี้รัฐบาลจะเผชิญกับวิกฤต ทั้งภัยสงคราม โควิด-19 แต่เราต้องช่วยกันทำให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ให้พลังประชาราษฎร์ ช่วยสร้างชาติที่ยั่งยืนตลอดไป” พล.อ.ประวิตรกล่าว
ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่า พล.อ.ประวิตร ใช้เวลาในการกล่าวสรุปผลงานของพรรคพปชร.และรัฐบาลนานกว่า 30 นาที รวมถึงมีการถ่ายทอดสดผ่านเพจเฟซบุ๊ก พรรคพลังประชารัฐเป็นครั้งแรก หลังกล่าวเปิดประชุมและสรุปผลงานเสร็จ พล.อ.ประวิตรได้เดินทางกลับทันทีเนื่องจากมีภารกิจต่อในช่วงบ่าย
จากนั้นได้เข้าสู่วาระการประชุมเพื่อ เลือกตั้งกรรมการบริหารพรรคแทนตำแหน่งที่ว่าง โดยที่ประชุมมีมติเลือก พล.อ.กฤษณ์โยธิน ศศิพัฒนวงษ์, พล.อ.ธัญญา เกียรติสาร, นายวิเชียร ชวลิต ส.ส.บัญชีรายชื่อ และนายพรชัย ตระกูลวรานนท์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ เป็นกรรมการบริหารพรรคแทนตำแหน่งที่ว่าง 4 ตำแหน่ง
ที่ประขุมได้เสนอและโหวตชื่อนายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.การคลัง เป็นเลขาธิการพรรค โดยไม่มีการเสนอชื่อบุคคลอื่นเพิ่มเติม ส่วนตำแหน่งนายทะเบียนสมาชิกพรรค ได้เสนอชื่อและโหวตนายสุรสิทธิ์ นิธิวุฒิวรรักษ์ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ เป็นนายทะเบียนสมาชิกพรรค
นอกจากนี้ยังมีการแต่งตั้งบุคคลเป็นคณะกรรมการสรรหาผู้สมัครรับเลือกตั้ง ได้แก่ นายสันติ พร้อมพัฒน์ เลขาธิการพรรค, นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรค, พล.อ.ธัญญา กก.บห., นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน ในฐานะผู้อำนวยการพรรค, นายรงค์ บุญสวยขวัญ ส.ส.นครศรีธรรมราช
และได้รับทราบคำสั่งหัวหน้าพรรค เพื่อแต่งตั้งรองหัวหน้าพรรคและผู้อำนวยการพรรค โดยให้นายวิรัช รัตนเศรษฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อ เป็นรองหัวหน้าพรรค, นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นรองหัวหน้าพรรค, นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อ เป็นรองหัวหน้าพรรค, นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลฯ เป็นรองหัวหน้าพรรค และนายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน เป็นผู้อำนวยการพรรค
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.อ.กฤษณ์โยธิน เป็นอนุกรรมการฝ่ายหารายได้ มูลนิธิป่ารอยต่อฯ เป็นอดีตฝ่ายเสนาธิการของ พล.อ.ประวิตร เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง รมว.กลาโหม ส่วน พล.อ.ธัญญา เป็นอดีตแม่ทัพภาคที่ 2 เคยถูกตั้งข้อสังเกตว่ามีบทบาทเบื้องหลังในทางการเมืองพื้นที่ภาคอีสานช่วงการเลือกตั้งที่ผ่านมา
ภายหลังการประชุม พปชร. พล.อ.ประวิตรกล่าวถึงการแต่งตั้งอดีตนายทหาร 2 คน จะให้มาช่วยงานด้านไหน ว่า “ก็มาช่วยผม มาช่วยธุรการ”
ด้าน พล.อ.ธัญญากล่าวว่า ภารกิจที่สำคัญคือการใช้ศักยภาพและกลไกที่มีอยู่ของ พปชร.ในการขับเคลื่อนเพื่อให้เกิดการสร้างเสริมชีวิตที่ดีกว่าให้กับคนอีสาน ภายใต้โครงการอีสานน้ำเพียงพอ เพื่อเชื่อมต่อการพัฒนาในทุกด้าน มุ่งสู่เศรษฐกิจพอเพียงตามปรัชญาของในหลวง ร.9 อันจะสร้างให้เกิดคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน
“สันติ” สานฝันกวาด 150 ที่่นั่ง
ส่วนนายสันติ พร้อมพัฒน์ กล่าวถึงเป้าหมายในการเลือกตั้งครั้งหน้าว่า หัวหน้าพรรคให้โจทย์ว่าต้องให้ประชาชนสนับสนุนเรา 150 ที่นั่ง สิ่งแรกคือ ประชาชนมั่นใจว่าเราจะเป็นที่พึ่งพาให้กับพวกเขาได้ ตนมีความตั้งใจพัฒนาพรรคให้ขับเคลื่อนไปได้โดยไม่มีรอยต่อ ไม่มีสะดุด ไม่ว่าจะขาดตนหรือกรรมการบริหารพรรคท่านใด ก็จะไม่มีปัญหาในการดูแลประชาชน จากนี้จะมีการเสวนา สัมมนากับสมาชิกทั้ง 400 เขตเป็นประจำ รวมไปถึงหัวหน้าภาคทั้ง 10 ภาค เพื่อให้เขาสามารถนำนโยบายของพรรคไปสื่อสารกับประชาชนในพื้นที่ได้
เมื่อถามถึงการลาออกของนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค นายสันติกล่าวว่า ยังไม่ทราบว่านายพีระพันธุ์ลาออก แต่ไม่ว่าในอนาคต พปชร.จะขาดตนหรือ กก.บห.คนใดก็จะไม่เป็นอุปสรรคในการขับเคลื่อนนโยบาย
“ผมมีความมั่นใจในพรรคพลังประชารัฐ ส่วนเรื่องการแลนด์สไลด์อะไรต่างๆเป็นแค่ความฝัน เป็นแค่คำพูด ที่สำคัญที่สุดอยู่ที่การกระทำ” นายสันติกล่าวถึงการเลือกตั้งครั้งต่อไปพรรคเพื่อไทยประกาศว่าชนะแลนสไลด์ พรรค พปชร.จะทัดทานอย่างไร
เมื่อถามว่า การที่กระแส พปชร.ตก จะทำให้การเลือกตั้งครั้งหน้าจะสู้ได้หรือไม่ นายสันติกล่าวว่า ไม่ และกระแสไม่ได้ตก กระแสของพรรคเราขณะนี้ต้องบอกว่าดีมากเมื่อดูจากโพลต่างๆ เรื่องการทำโพล ถ้าอยากทราบอะไรก็ไปทำในจุดนั้น แต่โพลที่มีความเป็นกลางและตรงไปตรงมา ที่ตนดูแล้วพรรคเรากระแสดี แล้ววันนี้หากไม่ได้ พล.อ.ประยุทธ์ ปัญหาเศรษฐกิจ ประชาชนจะลำบากกว่านี้
ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม พรรค พท. และรองประธาน กมธ.วิสามัญเพื่อพิจารณาติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายเงินจากการกู้เงินตาม พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพิ่มเติม พ.ศ.2564 แถลงว่า ขอเรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ในฐานะ ผอ.ศบค. เข้าชี้แจงต่อ กมธ. เมื่อวันที่ 31 มี.ค. กมธ.ได้เชิญ พล.อ.ประยุทธ์ เพื่อชี้แจงงบประมาณโควิด-19 แต่มอบหมายให้นายประทีป กีรติเรขา หัวหน้าสำนักงานเลขาธิการ ศบค. ทำหนังสือแจ้งว่าจะส่งสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุขมาชี้แจงแทน แต่ตัวแทนที่มาร่วมประชุมไม่รู้เรื่องและไม่รู้ว่าจะชี้แจงอะไร ดังนั้น กมธ.ได้นัดใหม่อีกครั้งในวันที่ 11 เม.ย.
นายยุทธพงศ์กล่าวว่า ได้ข้อมูลมาว่าพล.อ.ประยุทธ์ชอบตีกอล์ฟเป็นชีวิตจิตใจ และเคยมีความคิดนำสนามกอล์ฟเป็นสถานที่กักตัวโควิด-19 ท่ามกลางสถานการณ์ในประเทศที่พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ XE ที่สามารถแพร่กระจายได้ง่ายกว่าสายพันธุ์โอมิครอน แต่พล.อ.ประยุทธ์ใช้เวลาช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ไปตีกอล์ฟกับคณะ ที่มี 6 คน ที่สนามกอล์ฟย่าน อ.บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา ที่มีบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด เป็นเจ้าของ นอกจากนี้ ขอทวงบุญคุณไปยังผู้บริหารไทยเบฟฯ ที่ไม่ติดต่อซื้อที่ดินของตนที่ จ.มหาสารคาม เพื่อนำเงินไปช่วยเหลือประชาชน ในฐานะบุตรเขยของนายโกเมน ตันติวิวัฒนพันธ์ ขอให้ผู้บริหารไทยเบฟฯ พิจารณาทบทวน เพื่อรำลึกถึงบุญคุณที่นายโกเมนเคยช่วยเหลือผู้บริหารไทยเบฟฯ
พท.ขู่ข้อมูลแน่นยื่นซักฟอก
“ผมและพรรคเพื่อไทยเตรียมข้อมูลในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลตามรัฐธรรมนูญมาตรา 151 เรียบร้อยแล้ว ในวันที่ 23 พ.ค. เวลา 08.30 น. จะยื่นญัตติทันทีเพื่อไม่ให้รัฐบาลมีโอกาสยุบสภาหนี ผมพร้อมจะอภิปราย พล.อ.ประยุทธ์ และอย่าชิงยุบสภาก่อนวันที่ 22 พ.ค.65 พล.อ.ประยุทธ์จะรู้ว่านรกมีจริงหรือไม่ ในการยกมือโหวตไว้วางใจในสภา ขอยืนยันหลักฐานครั้งนี้แน่น” นายยุทธพงศ์กล่าว
นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่นายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม ในฐานะประธานวิปฝ่ายค้าน ระบุว่า พล.อ.ประยุทธ์ลงพื้นที่พบปะประชาชนในกรุงเทพฯ พร้อมประกาศให้เลือกผู้ว่าฯ กทม.ที่เป็นนักปฏิบัตินั้น เป็นการเอาตำแหน่งนายกฯ ไปใช้ในทางที่ไม่เหมาะสม เข้าข่ายผิดกฎหมายเลือกตั้งว่า ท่านนายกฯ สามารถลงพื้นที่ได้ทั่วประเทศทุกเวลา แต่ที่ฝ่ายค้านมองว่าผิดปกติก็เพราะใจที่อคติ ต่อให้ท่านนายกฯ ลงพื้นที่เป็นปกติฝ่ายค้านก็มองว่าถี่อยู่ดี หนักข้อถึงขั้นลามไปถึง กกต. ซึ่งท่านมีหน้าที่รักษากติกาการเลือกตั้งให้เป็นธรรมอยู่แล้ว นายกฯ วางตัวเป็นกลางทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมาย แต่กลับพยายามโยงให้ประชาชนสับสน จึงอยากให้ฝ่ายค้านตั้งสติดีๆ เพราะฝ่ายค้านเองก็เปิดหน้าสนับสนุนผู้สมัครบางคนออกนอกหน้าเช่นกัน สุดท้ายอาจจะกลายเป็นว่าฝ่ายค้านนั่นแหละที่อาจจะถูกยื่นร้องเอาผิดต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแทนได้ เพราะเอาตำแหน่ง ส.ส.ไปใช้ในทางที่ไม่เหมาะสมหรือไม่ และอาจจะเข้าข่ายผิดกฎหมายการเลือกตั้งได้
ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจของประชาชนเรื่อง “โอกาสพรรคเล็ก หรือโอกาสแลนด์สไลด์ (Landslide)” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 28-30 มีนาคม 2565 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค รวมทั้งสิ้น 1,314 หน่วยตัวอย่าง โดยความคิดเห็นของประชาชนต่อร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ควรทำให้การชนะการเลือกตั้งแบบแลนด์สไลด์ (ได้เสียง ส.ส. เกินครึ่งหนึ่งของสภา) เกิดขึ้นได้ยาก พบว่า ตัวอย่างร้อยละ 34.78 ระบุว่าเห็นด้วยมาก รองลงมา ร้อยละ 26.03 ระบุว่า ค่อนข้างเห็นด้วย, ร้อยละ 16.82 ระบุว่า ไม่เห็นด้วยเลย, ร้อยละ 16.21 ระบุว่าไม่ค่อยเห็นด้วย
เมื่อถามถึงสิ่งที่ประชาชนจะเลือกระหว่างการให้โอกาสพรรคเล็กได้มี ส.ส. ในสภา หรือการเปิดโอกาสให้มีพรรคการเมืองชนะเลือกตั้งแบบแลนด์สไลด์ พบว่า ร้อยละ 58.68 ระบุว่าการให้โอกาสพรรคเล็กได้มี ส.ส.ในสภา รองลงมา ร้อยละ 35.46 ระบุว่าการเปิดโอกาสให้มีพรรคการเมืองชนะเลือกตั้งแบบแลนด์สไลด์
และร้อยละ 5.86 ระบุว่า เฉยๆ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ.