นี่เป็นภาพที่ชาวนาที่บ้านวังบัง ตำบลขามเฒ่าพัฒนา อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม ที่ไปขอแรงญาติพี่น้องมาช่วยกันพายเรือลงแขกเกี่ยวข้าว ที่กำลังจะจมอยู่ใต้น้ำ หลังจากฝายกั้นแม่น้ำชีทรุดตัว ทำให้น้ำจากแม่น้ำชีเอ่อเข้าท่วมแปลงนาข้าว ที่เริ่มจะแก่ และใกล้เก็บเกี่ยว โดยที่หวังเพียงแค่พอจะเหลือข้าวเปลือกส่วนหนึ่ง นำไปตากให้แห้ง และเก็บไว้สีกินในครอบครัว ดีกว่าปล่อยให้จมน้ำไปต่อหน้าต่อตา
ชาวนาเจ้าของพื้นที่ นาข้าวที่ถูกน้ำท่วม บอกว่า โดยปกติแล้วข้าวที่ปลูกจะต้องเก็บเกี่ยวในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน หรือต้นเดือนธันวาคม เรียกได้ว่า เห็นเงินอยู่รำไร แล้วแต่เมื่อมาถูกน้ำท่วมแบบนี้ แทบไม่ได้อะไรคืนมาเลย อีกทั้งเห็นราคาข้าวปีนี้ กิโลกรัมละ 5-6 บาท ก็ยิ่งทุกข์ใจ หวังว่ารัฐบาลจะช่วยพยุงราคาข้าว ไม่ซ้ำเติมชาวนา หลังจากที่ต้องเผชิญกับปัญหาน้ำท่วมมาแล้ว
สำหรับพื้นที่ประสบภัยน้ำท่วมในจังหวัดมหาสารคาม มีทั้งหมด 5 อำเภอ 30 ตำบล 250 หมู่บ้าน โดยเฉพาะพื้นที่นาข้าว ตอนนี้ ได้รับผลกระทบไปแล้วกว่า125,000 ไร่
ที่จังหวัดชัยภูมิก็เช่นเดียวกัน ชาวนาหลายรายในพื้นที่อำเภอเมือง ต่างเร่งว่าจ้างรถเกี่ยวข้าว ให้มาเกี่ยวข้าวในแปลงนาในพื้นที่ดอน ที่ไม่ถูกน้ำท่วม เพราะเกรงว่าจะมีฝนหลงฤดู ตกลงมาซ้ำเติมจนทำให้ต้นข้าวที่เริ่มแก่ ใกล้เก็บเกี่ยวได้รับความเสียหาย ก่อนจะนำไปตากลดความชื้น แต่บางราย ก็ต้องยอมเกี่ยวข้าวสด ก็คือ ไม่มีการตากลดความชื้น และนำไปขายให้กับโรงสีทันที เนื่องจากหากต้องนำไปตากอีก ก็ต้องใช้เวลานาน และยังต้องเสียค่าจ้างแรงงานเพิ่มขึ้นอีก จึงต้องยอม ขายเป็น “ข้าวสด” ซึ่งทางโรงสีก็ต้องหักค่าความชื้นข้าว โดยข้าวสายพันธุ์อื่นที่ไม่ใช่ข้าวขาวดอกมะลิ 105 จะขายได้เพียงกิโลกรัมละ 5 บาทเท่านั้น แต่ข้าวเปลือกขาวหอมมะลิ 105 หากเกี่ยวขายแบบ “ข้าวสด” จะขายได้กิโลกรัมละประมาณ 8 บาท ซึ่งก็ไม่คุ้มกับต้นทุน
ชาวนาบางรายถึงกับท้อใจ ปีนี้ ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น ซ้ำยังต้องมาเผชิญกับวิกฤตน้ำท่วมใหญ่อีก นาข้าวเสียหายไปจำนวนมาก แม้บางรายที่ปลูกในพื้นที่ไม่ถูกน้ำท่วม แต่เมื่อเกี่ยวข้าว และนำข้าวเปลือกไปขาย กลับได้ราคาเพียงแต่กิโลกรัม ละ 4 บาท 50 สตางค์ ซ้ำยังถูกหักค่าความชื้นข้าวอีก โดยหากราคายังต่ำกว่ากิโลกรัมละ 10 บาท ชาวนาบอกว่า เก็บข้าวเปลือกไว้เลี้ยงไก่ยังจะดีกว่า