ฝ่ายค้านรุกหนัก จี้บิ๊กตู่ เปิดเผยสัญญาซื้อขายส่งมอบวัคซีนรัฐบาลไทยกับบริษัท แอสตร้าเซนเนก้าฯ แนะอย่าทำลับๆ ล่อๆ ให้รู้กันไปเลย 61 ล้านโดสส่งมอบวันไหน เวทีไทยไม่ทนไล่อัดประยุทธ์-ทุนผูกขาด บี้เจ้าสัวเลิกอุ้มนายกฯ
เมื่อวันที่ 30 พ.ค. ที่พรรคเพื่อไทย นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย แถลงถึงการจัดหาวัคซีนของรัฐบาลว่า ตามที่ได้ข้อมูลมา บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ฯ ตั้งขึ้นโดย ร.9 มีวัตถุประสงค์เพื่อผลิตยาชีววัตถุ ลดการพึ่งพายาจากต่างประเทศ โดยบริษัท สยามไบโอฯ ถูกเลือกรับจ้างให้ผลิตวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าในภูมิภาคอาเซียน และยึดนโยบายไม่ทำกำไร ไม่ขาดทุน เพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ โดยได้ลงนามในสัญญารับจ้างผลิตวัคซีนในปลายปี 2563 ในฐานะผู้รับจ้างผลิตให้แอสตร้าเซนเนก้า เมื่อผลิตเสร็จจะส่งมอบวัคซีนให้แอสตร้าฯ การสั่งซื้อ การกระจายวัคซีนเป็นเรื่องระหว่างรัฐบาลของประเทศต่างๆ ที่เป็นผู้ซื้อ กับแอสตร้าฯ ในฐานะผู้ขาย โดยสยามไบโอฯ ไม่เกี่ยวข้องกับการส่งมอบวัคซีนให้กับรัฐบาลไทย เมื่อส่งมอบวัคซีนให้กับแอสตร้าเซเนก้าซึ่งเป็นผู้ว่าจ้างแล้ว ถือว่าสยามไบโอฯ ทำงานของตัวเองเสร็จสิ้น
นายยุทธพงศ์กล่าวอีกว่า ก่อนที่แอสตร้าเซนเนก้าจะส่งมอบวัคซีนให้กับผู้ซื้อ คือรัฐบาลของประเทศต่างๆ ซึ่งสยามไบโอฯ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสั่งซื้อและกระจายวัคซีนระหว่างแอสตร้าเซนเนก้าและรัฐบาลไทย ดังนั้นจะโทษสยามไบโอฯ ไม่ได้ จึงขอเรียกร้องพล.อ.ประยุทธ์ นายกรัฐมนตรี ในฐานะผอ.ศบค. ดำเนินการ 1.ให้ประกาศให้ชัดเจนว่า 7 มิ.ย. ที่ประกาศให้ฉีดวัคซีนเป็นวาระแห่งชาติ จะมีวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าให้ประชาชนฉีดหรือไม่ 2.ให้เอาสัญญาที่ไปสั่งซื้อวัคซีนระหว่างรัฐบาลไทยและบริษัท แอสตร้าเซนเนก้าฯ ในสัญญาเขียนไว้อย่างไร ไม่ใช่ทำลับๆ ล่อๆ แบบนี้ ซึ่งจะได้รู้ว่าจะมีการจัดส่งวัคซีนให้วันใด หากไม่ส่งมาตามกำหนดจะมีค่าปรับอย่างไร ซึ่งสัญญามีความสำคัญ พล.อ.ประยุทธ์ต้องเปิดเผยให้ประชาชนได้ดูว่าการสั่งซื้อ 61 ล้านโดสส่งมอบกันวันไหน อย่างไร ผลของความล่าช้า มาจากการบริหารที่ล้มเหลว ในฐานะ ผอ.ศบค. ที่รวบอำนาจไว้คนเดียว
ขณะที่ น.ส.อรุณี กาสยานนท์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ขณะนี้วัคซีนป้องกันโควิด-19 ได้กลายเป็นเครื่องมือชี้วัดอำนาจและเป็นเครื่องมือสร้างคะแนนนิยมโดยมีชีวิตของประชาชนและเศรษฐกิจของประเทศเป็นตัวประกัน ทั้งที่วัคซีนเป็นสิ่งที่รัฐบาลในฐานะฝ่ายบริหารมีหน้าที่ในการจัดหามาบริการให้สวัสดิการ และสร้างประโยชน์สุขให้กับประชาชนส่วนใหญ่ได้มีชีวิตที่ปลอดภัย แต่ในขณะนี้ยังมองไม่เห็นถึงความเป็นไปได้ในของแผนฉีดวัคซีน 70% ภายในสิ้นปี 2564 ของรัฐบาล โดยที่ผ่านมานายกรัฐมนตรีได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน รวบอำนาจมาไว้ที่ตนเองเพียงผู้เดียว มีภาระหน้าที่ในการดำเนินการ ป้องกันและแก้ไขโรคระบาดอย่างเบ็ดเสร็จ เด็ดขาดและรวดเร็ว แต่เพราะนายกรัฐมนตรีที่ไร้ประสิทธิภาพ การบริหารจัดการวิกฤติจึงเป็นไปอย่างล่าช้า ตะกุกตะกัก ก้าวไม่ทันโรค และไม่เคยทันโลก ไม่เคยสำนึกผิดหรือตระหนักได้ ว่าการระบาดที่ยืดเยื้อยาวนานมีต้นตอปัญหาจากใคร ซ้ำยังจัดหาวัคซีนไม่ทันตามที่ให้สัญญาไว้กับประชาชน จำนวนยี่ห้อของวัคซีนที่ไม่หลากหลายเพื่อกระจายความเสี่ยงและเป็นทางเลือก ทำให้ความน่าเชื่อถือของรัฐบาลทั้งองคาพยพสิ้นสลายไปแล้ว
บ่ายวันเดียวกัน ที่ห้องประชุมไทยไม่ทน สถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมพีซทีวีกลุ่มไทยไม่ทน คณะสามัคคีประชาชน เพื่อประเทศไทย ยังคงจัดปราศรัยออนไลน์ กล่าวโจมตีการบริหารงาน พล.อ.ประยุทธ์อย่างต่อเนื่อง
นายเมธา มาสขาว เลขาธิการคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) กล่าวว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดทั่วโลกภาพรวมลดลง ขณะที่ประเทศไทยยังพบผู้ติดเชื้อต่อเนื่อง ยอดผู้ป่วยสะสมวันนี้ 149,779 คน ทำให้ตัวเลขผู้ติดเชื้อสะสมแซงหน้าประเทศจีนไปแล้ว คือความอดสูของประเทศไทย ที่มีนายกรัฐมนตรีที่ไร้ความสามารถ รัฐบาลไม่มีนโยบายการกระจายวัคซีนโดยเร็ว นายกฯ เคยเป็นผู้บัญชาการทหาร ทำไมไม่บัญชาการกองทัพไทยและกองทัพสาธารณสุขทั้งองคาพยพต่อสู้กับภัยรุกรานในสงครามทางชีวภาพในครั้งนี้โดยการสั่งซื้อวัคซีนเป็นอาวุธ และการฉีดฟรีให้แก่ประชาชนถือเป็นหน้าที่ของรัฐบาล วัคซีนต้องเป็นรัฐสวัสดิการ โดยอาจให้โรงพยาบาลนำเข้า และรัฐจ่ายค่าใช้จ่ายในราคาที่ควบคุมไว้ได้ โดยสามารถจ่ายให้โรงพยาบาลหรือผ่านประชาชนโดยตรงก็ได้
นายเมธากล่าวว่า ขอตั้งคำถามถึงกลุ่มทุนตระกูลเจียรวนนท์ กลุ่มทุนสิริวัฒนภักดี กลุ่มทุนอยู่วิทยา กลุ่มทุนจิราธิวัฒน์ และกลุ่มทุนคิงเพาเวอร์ ยังสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์อยู่หรือไม่ รวมถึงกลุ่มทุนพลังงานอย่างกัลฟ์ ที่ได้ สัมปทานการผลิตไฟฟ้าป้อน กฟผ. 20 ปี โดยสัญญาสัมปทานเป็นธรรมหรือไม่ ถ้าพวกท่านไม่ถอยออกมา จะเป็นศัตรูของประชาชน การเคลื่อนไหวต่อไปของไทยไม่ทน จะไปเยี่ยมพวกกลุ่มทุนผูกขาดประเทศไทยทั้งหลายที่ไม่เห็นคนไทยเป็นคนเท่ากัน
ด้านนายวีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต่อต้านคอร์รัปชัน กล่าวเช่นกันในประเด็นคณะกรรมการป.ป.ช. สรุปผลการสอบสวนโครงการขุดลอกคูคลองขององค์การทหารผ่านศึกว่า ไม่มีการทุจริต ไม่มีความเกี่ยวข้องกับพล.อ.ประยุทธ์และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ทั้งที่ ผอ.องค์การทหารผ่านศึก ถูกตั้งกรรมการไต่สวน รวมทั้งบางสำนักข่าวก็ระบุชัดว่า พล.อ.ประวิตร รองนายกฯ ขณะนั้น ที่ควบคุมกับองค์การทหารผ่านศึกขณะนั้นโดยตรง ไปกินหัวคิว แล้ว พล.อ.ประยุทธ์ นายกรัฐมนตรี ที่เป็นหัวหน้ารัฐบาล ละเว้นไม่ตรวจ สอบหรือไม่ แล้วอย่างนี้ไม่ถือว่ามีความผิดหรืออย่างไร ดังนั้น จะเอาผิดกับป.ป.ช. เพราะอยากรู้ ป.ป.ช.มีมติออกมาอย่างไร กี่เสียง เรื่องนี้ไม่จบ ยาว จะเอาให้ถึงที่สุด.